วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สวดมนต์แข่งหนาวข้ามปี แบบวิถีชาวบ้านโพนงาม

สวดมนต์แข่งหนาวข้ามปี แบบวิถีชาวบ้านโพนงาม

โดย นางสาวอนุสรา เย็นวัฒนา



          “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ไปไหนกันดี
สวดมนต์ข้ามปี...ทุกที่ทั่วไทย อิ่มใจได้บุญ
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมและสวดมนต์ข้ามปี
น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
สร้างสิริมงคลแก่ชีวิตตนเองและครอบครัว”


(ข้อความเชิญชวนร่วมปฏิบัติธรรมและสวดมนต์ข้ามปี ของ
กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗)


        การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่โดยการสวดมนต์ข้ามปี ไม่ใช่เรื่องใหม่ ความจริงแล้วกิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้นต่อเนื่องมายาวนานในกลุ่มพุทธศาสนิกชนบางส่วน แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแพร่หลาย จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมได้เล็งเห็นความสำคัญจึงจัดตั้งโครงการสวดมนต์ข้ามปีขึ้นอย่างเป็นทางการ ทำให้คนไทยเริ่มรู้จัก “การสวดมนต์ข้ามปี” กันแพร่หลายมากขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา
        ฉันเองเคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” มาบ้าง จากเพื่อน ๆ ที่เคยไปร่วมกิจกรรม และจากการนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ ฉันรู้สึกสนใจ แต่ก็ยังไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมเลยสักครั้ง ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะอุปสรรคเรื่องการเดินทางเพราะสถานที่จัดกิจกรรมอยู่ห่างจากบ้านของฉันมาก จนปีนี้โครงการสวดมนต์ข้ามปีได้ขยายไปยังวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทุกคนสามารถไปร่วมกิจกรรมที่วัดใกล้บ้านของตนเองได้ ฉันจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเป็นครั้งแรกพร้อมกับย่า ที่วัดศิริวนาราม บ้านโพนงาม ต.หนองขุ่นใหญ่ อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด
         เช้าวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ย่าดูจะดีใจมาก เมื่อเห็นเด็กรุ่นใหม่อย่างฉันต้องการที่จะไปสวดมนต์ข้ามปีพร้อมกับย่าที่วัดในบ้านเดิมของท่าน ท่านรีบจัดแจงหาชุดขาวให้ฉัน  และบอกฉันให้เตรียมดอกไม้ ธูปเทียน และผ้าห่มกันหนาวให้พร้อมสำหรับการสวดมนต์ข้ามปีในคืนนี้
         เวลาประมาณ ๑๗.๑๕ น. ฉันและย่าเริ่มออกเดินทางจากหมู่บ้านคำโพนสูง ต.กกโพธิ์  อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ไปยังวัดประจำหมู่บ้านโพนงาม โดยมีอาและหลานอีกสองคนเป็นผู้อาสาไปส่ง ด้วยความที่หมู่บ้านดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของเรามากนัก เราจึงใช้เวลาไม่ถึง ๒๐ นาที ก็ถึงที่หมาย
        เมื่อก้าวขาลงจากรถ สิ่งแรกที่เข้ามาทักทายคือสายลมที่หนาวเย็น ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว อากาศจึงหนาวเย็นมาก ความหนาวเย็นดังกล่าวทำให้ฉันแอบหวั่นใจอยู่บ้างว่าจะเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมที่จะทำในคืนนี้ เราเริ่มขนของที่เตรียมมาเข้าไปในศาลา มีผู้สูงอายุ และคนวัยกลางคนทั้งหญิงชายนั่งเรียงรายอยู่บ้างแล้วหลายคน แต่ละคนเตรียมผ้าห่ม ธูปเทียน ดอกไม้ เงินบริจาค และบทสวดมนต์มาครบมือ ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่วัดศิริวนารามจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีขึ้น แต่โดยปกติแล้ววัดนี้จะมีการจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมและจำศีลในโอกาสสำคัญ ซึ่งต้องมีการค้างคืนที่วัดอย่างน้อย ๑ คืนอยู่แล้ว และย่าของฉันก็มาเข้าร่วมอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่ย่าและผู้เข้าร่วมการสวดมนต์ข้ามปีคนอื่น ๆ ในครั้งนี้จะเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมสำหรับการค้างคืนอย่างที่เห็น ต่างจากฉันที่ไม่ค่อยรู้อะไรเลย ซ้ำยังคิดว่าทางวัดจะเตรียมบทสวดมนต์ให้เสียอีก ดีหน่อยที่ย่ายังเตรียมมาเผื่อฉันด้วย
         พอส่งย่ากับฉันถึงที่หมายแล้ว อาและเด็กๆ ก็ช่วยฉันกับย่าเตรียมอุปกรณ์สำหรับการสวดมนต์ข้ามปี ตั้งแต่การทำที่ปักธูปเทียน ดอกไม้ และเงินบริจาค โดยการนำทรายที่เตรียมมาเทใส่ภาชนะที่เป็นแก้วน้ำ หรือภาชนะอื่น ๆ ซึ่งรูปทรงคล้ายกัน เช่น ถ้วยโจ๊ก ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ใช้แล้ว หรือจะใช้ลำต้นของกล้วยที่ตัดเป็นท่อน ๆ ซึ่งทางวัดเตรียมไว้ให้ก็ได้เช่นกัน  เสร็จแล้วก็ปักดอกไม้ ธูปเทียน และเงินบริจาคซึ่งถูกหนีบด้วยไม้ (คล้ายการทำต้นเงินผ้าป่า) ลงในภาชนะดังกล่าวให้เรียบร้อย พร้อมทั้งแนบใบที่เขียนชื่อตนเองและระบุว่าจะมอบอานิสงค์จากการสวดมนต์ครั้งนี้ให้แก่ใครบ้างในไม้อันเดียวกันกับที่หนีบเงินบริจาคซึ่งไม่นานหลังจากที่เตรียมของเสร็จแล้วอากับหลานทั้งสองคนก็เดินทางกลับหมู่บ้านคำโพนสูง เพื่อเตรียมประกอบอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัดในเช้าวันปีใหม่ที่จะมาถึง
(๘)         คณะผู้เข้าร่วมทยอยเดินทางมาที่วัดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีเด็กและวัยรุ่นติดตามพ่อแม่มาบ้าง
๓  – ๔ คน บางคนมาเป็นครอบครัวทั้งปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ และลูก บางคนก็ชวนเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาด้วย เมื่อมาถึงก็พูดจาทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย แต่ละคนล้วนมีรอยยิ้มและสีหน้าบ่งบอกความสุขและความตั้งใจดี โดยเฉพาะย่าของฉัน ฉันเห็นแววตาและสีหน้าของย่าดูเบิกบานมีความสุขมากเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะท่านเคยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มานานตั้งแต่รุ่นวัยกลางคนจนวัยชราก่อนที่ทั้งปู่และย่าจะย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ของฉันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่านคงผูกพันกับหมู่บ้านโพนงามและคนที่นี่มาก ผู้สูงอายุหลายท่านพอคุ้นหน้าคุ้นตาฉันอยู่บ้างในฐานะที่ฉันเป็นลูกของพ่อ หลานของย่า และฉันเคยมาที่หมู่บ้านและวัดนี้อยู่เรื่อย ๆ ตั้งแต่ยังเยาว์
          จนเวลาประมาณ ๑๘.๔๕ น. พระสงฆ์รวม ๓ รูป และคณะผู้เข้าร่วมอีกประมาณ ๒๕ – ๓๐ คน จึงเริ่มทำวัตรเย็น ตามด้วยสวดมนต์บทอื่น ๆ ขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น กลุ่มมวลอากาศเย็นก็จับกลุ่มกันเป็นลมหนาวลอดผ่านช่องประตูซึ่งทำด้วยกรงเหล็กดัดเป็นลวดลายงามตาเข้ามาในศาลา ต้องกายของคณะผู้เข้าร่วม ราวกับว่ากำลังเล่นสนุกเพื่อทดสอบความอดทนของบรรดาผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุก ๆ คน แต่ถึงแม้จะหนาวเหน็บเพียงไร เสียงสวดมนต์จากผู้เข้าร่วมทุกชีวิตทั้งผู้สูงอายุ คนวัยกลางคน วัยรุ่น รวมถึงเด็กตัวเล็ก ๆ ต่างยังคงรวมพลังกันดังกึกก้องแข่งกับอุณหภูมิซึ่งลดต่ำลงเรื่อย ๆ อย่างไม่เกรงกลัว เมื่อสวดมนต์ไปพอสมควรแล้วเจ้าอาวาสจึงแนะนำให้หยุดพักก่อน แล้วนั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มปวดเมื่อยก็เปลี่ยนไปเดินจงกรมรอบศาลาแทน
       เป็นอยู่เช่นนี้ จนเวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. เจ้าอาวาสจึงให้พระลูกวัดและคณะผู้เข้าร่วมพักผ่อนตามอัธยาศัย หลายคนหยิบผ้าห่มที่เตรียมมาห่มร่างกายจนมิดชิด นอนคุดคู้อยู่ในศาลา บ้างก็จับกลุ่มนั่งคุยกันไปพลาง ๆ บ้างก็ออกไปนอกศาลาจุดไฟผิง ผู้สูงอายุบางท่านใช้โอกาสนี้สอนการท่องบทสวดมนต์บางบทที่ไม่ค่อยมีใครสวดได้แก่กลุ่มลูกหลาน เพื่อให้ลูกหลานเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดต่อไป ซึ่งเหล่าลูกหลานต่างรับความรู้และฝึกหัดด้วยความสนใจ ยอมรับว่าภาพบรรยากาศเหล่านี้เป็นภาพที่แตกต่างจากความคิดของฉันก่อนที่จะมา แต่ฉันคิดว่าน่าประทับใจไปอีกแบบที่คนที่นี่ผูกพันกับวัดเสมือนเป็นบ้านของตนและมีระบบการสืบทอดสิ่งดีงามที่งดงามน่าชื่นชม
       เมื่อถึงเวลา ๒๓.๓๐ น. พวกเราจึงเริ่มสวดมนต์อีกครั้ง โดยเริ่มตั้งแต่การสวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่หลายรอบ ตามด้วยบทปัตติทานะคาถา คาถามงคลจักรวาลแปดทิศ บทบูชายอดพระไตรปิฏก รวมถึงการกรวดน้ำ แผ่เมตตาให้ผู้อื่นและให้ตัวเอง เป็นต้น จนถึงเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ จึงเป็นอันเสร็จกิจกรรม หลังจากนั้นไม่นานย่าก็โทรศัพท์เรียกอาให้มารับพวกเรากลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวไปทำบุญตักบาตรอย่างพร้อมหน้ากันญาติพี่น้องในตอนรุ่งเช้า ที่วัดโคศานิศาสตร์ บ้านคำโพนสูง ส่วนผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กลับบ้านทันทีหลังจากเสร็จกิจกรรม เพราะหลายคนเลือกที่จะนอนค้างที่วัดศิริวนารามนี้ซึ่งเป็นเสมือนบ้านที่คุ้นเคยอยู่แล้ว
      แม้ว่าการสวดมนต์ข้ามปีครั้งแรกของฉันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้เสียทุกอย่าง เป็นต้นว่า จะต้องเริ่มสวดมนต์ตอนใกล้เวลาข้ามปีทีเดียวเลย มีอุปกรณ์เตรียมพร้อมให้กับผู้เข้าร่วม และภาพบรรยากาศกิจกรรมคงจะคล้ายกับที่เคยเห็นในสื่อโทรทัศน์ แต่อย่างไรก็ตามฉันไม่เสียใจเลยที่ได้มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ตรงกันข้ามฉันกลับรู้สึกดีที่ได้เริ่มต้นทำสิ่งดี ๆ ในปีใหม่พร้อมกับบุคคลที่ฉันเคารพรัก และขณะเดียวกันก็ได้เห็นภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นภายในจิตใจของชาวบ้านโพนงาม ซึ่งกลายเป็นพลังช่วยกลบความหนาวเย็นจากอากาศรอบตัวผู้เข้าร่วมรวมทั้งตัวฉันให้ทุเลาลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงพูดได้เลยว่า การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของฉันในปีนี้ช่างเป็นความทรงจำที่มีค่า ทำให้ฉันอิ่มใจและอิ่มบุญมากเหลือเกิน

      “สวดมนต์ข้ามปี” ไม่ใช่กิจกรรมที่เหมาะแค่สำหรับผู้สูงอายุอย่างที่ใครหลายคนคิด แต่เป็นกิจกรรมที่ใครไม่ว่าเพศหรือวัยใดก็คู่ควรที่จะทำ และนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ดีงามและน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์และเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้กระทำแล้ว ยังได้ร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไปอีกด้วย ดังนั้น การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในโอกาสต่อ ๆ ไป ถ้าคุณยังคิดไม่ออกหรือยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร คงจะดีไม่น้อยหากคุณจะลองรับกิจกรรมนี้ไว้พิจารณา...      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น